ตัวอย่างหนัง The Secret Life of Walter Mitty
หลังจากที่เคยฝากผลงานการกำกับหนังครั้งล่าสุดไว้ใน Tropic Thunder เมื่อปี 2008 ล่าสุด เบน สติลเลอร์ ก็ลุกขึ้นมาสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นด้วยผลงานแนว Feel Good เรื่องใหม่ อย่าง The Secret Life of Walter Mitty : ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้ โดยหนังเรื่องนี้ หากดูผ่าน ๆ อาจมองว่าเป็นหนังธรรมดา ไม่มีอะไรหวือหวา และคงมีเพียงแค่ความสวยงามของฉากหลังที่เห็นในตัวอย่างเท่านั้น ที่น่าจะดึงดูดใจคนดูได้มากที่สุด
แต่หารู้ไม่ว่า ที่จริงแล้ว The Secret Life of Walter Mitty : ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้ ซ่อนอะไรดี ๆ ไว้มากกว่าที่คิด เพราะหลังจากที่หนังเข้าฉาย บรรดานักวิจารณ์หรือคนที่ได้ไปชมหนังเรื่องนี้ ต่างพากันเดินออกมาจากโรงด้วยความประทับใจ ดังเช่น คุณ Onizu_9 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้มาถ่ายทอดประสบการณ์หลังจากชมหนังเรื่องนี้ให้คนที่กำลังลังเลว่าไปจะดูดี หรือไม่ดูดี มีตัวช่วยในการตัดสินใจมากขึ้น ส่วนหนังเรื่องนี้จะมีดีอย่างไรบ้างนั้น ไปอ่านพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
[Spoil] The Secret Life of Walter Mitty : ชีวิตอัศจรรย์ ความฝัน ความจริงสารภาพว่าแอบคลางแคลงใจนิด ๆ ตอนเห็นหน้าหนังเรื่องนี้ครั้งแรก เพราะมันดูธรรมดามากถึงมากที่สุด แม้จะมีฉากโชว์ความตื่นเต้นนิดหน่อยในเทรลเลอร์แต่ก็ยังดูไม่มีอะไรน่าสนใจ พล็อตเรื่องก็ธรรมดาดาราก็ไม่ดึงดูด และที่ผ่านมาหนังที่ป๋าเบน สตีลเลอร์แสดงนำ ก็ไม่ใช่แนวที่ชอบซักเท่าไหร่ด้วย
แต่เมื่อดูจบ ณ ตอนนี้ ขอยกให้เป็นหนังเรื่องที่ชอบ มากที่สุดของปี 2557 (เพราะเพิ่งดูไปเรื่องเดียว ตึ่ง โป๊ะ !) เอาจริง ๆ คิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้ดีสุด ๆ ขนาดอยู่ในหมวดหนังที่ทุกคนต้องดู เพียงแต่สำหรับคนที่ต้องการแรงบันดาลใจให้กับชีวิต ในการเริ่มต้นปีใหม่ หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าจัดอยู่ในหมวดหนังที่ควรดูและควรดูในโรงหนัง
เนื้อเรื่องโดยย่อ ใครดูแล้วข้ามส่วนนี้ไปโลด
The Secret Life of Walter Mitty พูดถึงเรื่องราวของ มิตตี้ (เบน สติลเลอร์) คือ ชายวัยกลางคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจในห้องฟิล์มอันอุดอู้ ของบริษัทนิตยสาร Life แต่ที่ไม่ธรรมดาคือมีอาการฝันกลางวันแบบหลุดโลกติดตัวมาด้วย
คราวซวยมาเยือนเมื่อบริษัทถูกซื้อไปแปรรูปเป็นนิตยสารออนไลน์ ทำให้ต้องมีการปฏิรูปองค์กร ซึ่งมาพร้อมการไล่พนักงานที่ไม่จำเป็นออก เรื่องราวดูยังไม่เลวร้ายเท่าไหร่นัก เพราะหน้าที่ของมิตตี้ คือการรับผิดชอบรูปของนักถ่ายภาพชื่อดังนามว่าฌอน (ฌอน เพนน์) ที่ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นมาร่วม 16 ปี แต่ความซวยซ้ำซ้อนเกิดขึ้นเมื่อรูปที่ 25 ที่ต้องใช้ลงในหน้าปกนิตยสารฉบับสุดท้ายเกิดหายไป และมันเป็นความรับผิดชอบของมิตตี้
มิตตี้ต้องออกเดินทางตามหาฟิล์มหมายเลข 25 ซึ่งกำหนดอนาคตชีวิตการทำงานของเขา โดยไม่รู้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตเค้าไปตลอดกาล
ถ้าอ่านแค่เรื่องย่อก็อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าโคตรธรรมดา แต่การทำหนังพล็อตธรรมดาให้ออกมาไม่ธรรมดานี่แหละที่เป็นตัวพิสูจน์ฝีมือของทีมงานและทีมงานเรื่องนี้สอบผ่านแบบสบาย ๆ
โดยรวม เรื่องนี้เป็นหนัง Feel Good เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ดูง่าย สบายตา สบายใจและสบายหัว (แต่ไม่สบายกระเป๋าเท่าไหร่นะฮะเมเจอร์) คือจะดูแบบชิว ๆ ไม่คิดมากก็สนุกได้ แต่ถ้าชอบคิดเยอะ หนังก็แฝงอะไรไว้ให้คิดต่อได้อย่างสนุกดี โดยอีกจุดเด่นที่ไม่ชมไม่ได้ คืองานภาพวิวทิวทัศน์ที่สวย โปร่ง โล่ง ง่าย สบายตา เชื้อเชิญให้น่าเก็บเงินออกท่องโลกยิ่งนัก
Mini Review จบเพียงเท่านี้ หลังจากนี้เป็นการพูดคุยที่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ (Spoil) นะครับ
สาระที่หนังนำเสนอหรือสิ่งที่ผมได้รับจากหนังเรื่องนี้ ขอแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ แก่น กระพี้ และ เปลือก
ซึ่งเหตุผลที่ใช้การแบ่งประเภทแบบนี้ เนื่องจากหนังค่อนข้างเน้นไปที่การนำเสนอ แก่น ไม่ว่าจะเป็นการแทนรูปที่ 25 เป็นแก่นของนิตยสารฉบับสุดท้าย หรือคำขวัญของบริษัทที่เปรียบเสมือนแก่นของ L.I.F.E. (ซึ่งตีความได้ทั้งสองทาง คือ นิตยสารและชีวิต)
ส่วนของ แก่น นั้น แน่นอนว่าสำคัญที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่า กระพี้และเปลือกจะไม่สำคัญ ส่วนที่เรียกว่ากระพี้และเปลือกนั้น หมายถึง สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อเช่นกัน แต่ด้วยเวลาที่จำกัด จึงอาจต้องลำดับความสำคัญ และไม่ได้ให้น้ำหนักมากนัก ก็เหมือนเพลง ที่ต้องมีทั้ง Intro Verse Pre Chorus และ Bridge ประกอบกัน ท่อน Chorus เด่นสุดก็จริง แต่ถ้ามีแต่ Chorus ก็ไม่ถือว่าเป็นเพลง
ดังนั้นทุกส่วนของหนัง จึงมีเพื่อช่วยเกื้อหนุนกันให้หนังออกมาสมบูรณ์ที่สุด แก่น กระพี้และเปลือกของหนังเรื่องนี้ ประกอบกันเป็นลำต้นที่แข็งแรงเพื่อส่งสารผ่านกิ่งก้านส่งต่อแรงบันดาลใจที่หลากหลายเข้าไปหยั่งรากลึกลงในจิตใจของผู้ชม
ขอเริ่มต้นจากประเด็นที่เป็น “เปลือก” ก่อน ก็คือ เรื่องบริษัทและชีวิตครอบครัวของมิตตี้
เรื่องการปฏิรูปบริษัทของมิตตี้จากนิตยสารเป็นรูปแบบออนไลน์ให้เข้ากับยุคสมัยนั้น พนักงานกินเงินเดือนดูแล้วน่าจะสะอึกไม่น้อย ในยุคสมัยโลกาภิวัตน์แบบปัจจุบัน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วปรู๊ดปร๊าด องค์กรที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็ได้แต่รอวันตายเท่านั้น เมื่อช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงจึงต้องดิ้นรนทุกรูปแบบเพื่ออยู่รอด ไม่ว่าคนหรือบริษัทก็ไม่ต่างกัน สิ่งใดที่ไม่สำคัญมากพอย่อมต้องถูกตัดทิ้งเพื่อรักษาชีวิต
ไม่มีใครผิด ใครถูก มันเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอดเท่านั้น ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก แม้คนที่ทุ่มเทต่อองค์กรมาเกือบทั้งชีวิต ก็ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ
ประเด็นการเอาชีวิตรอดสอดคล้องต่อเนื่องกับประเด็นครอบครัว เมื่อพ่อซึ่งเป็นเสาหลักจากไป เพื่อรักษาครอบครัวเอาไว้
ในอดีตมิตตี้ก็ต้องเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงและตัดบางสิ่งทิ้งไปเช่นกัน น่าเศร้าที่สิ่งนั้นคือตัวตนของตัวเองและความฝัน
เค้ายอมตัดผมโมฮอคซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการออกนอกกรอบ มาสมัครงานที่ร้านพิซซ่า Papa John ที่ซึ่งแม่ของเขาคิดว่ามิตตี้เข้าไปทำงานที่นั่น เพราะ “คิดถึง” พ่อที่จากไป แต่เปล่าเลย…
เค้าทำไปเพราะ “คิด” “ถึง” แม่และน้องสาวที่ยังอยู่ต่างหาก
หนังแอบมีแซวตัวเองเรื่องการเขียนบทไว้ด้วย ว่าจริง ๆ แล้ว มันมีสูตรของมันอยู่ คือต้องคิดแบบ Reverse เริ่มจากตอนท้ายก่อน แล้วค่อยย้อนมากระจาย Clues ไว้ตามช่วงแรก ๆ ซึ่งพอมาคิดตามนั้น หนังเรื่องนี้ก็เขียนบทมาแบบนั้นจริง ๆ แฮะ
เนื้อเรื่องมันง่าย ๆ ชิว ๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเท่าไหร่เลยนี่หว่า
เริ่มจาก ต้องใช้รูป > รูปหาย > มีเบาะแสเป็นรูปถ่าย > ตามเบาะแสไปทีละรูป > จนเจอคนถ่าย > หักมุมเล็ก ๆ 1 ที > ได้รูปมาละ > โชว์รูป > จบ
จริง ๆ เรื่องนี้เหมือนจะเป็นหนังที่ดำเนินเรื่องตามสูตรมาก ซึ่งการทำตามสูตรนั้นไม่ใช่ไม่ดี เพราะว่าดีมันถึงเรียกว่าสูตร แต่ที่หนังตามสูตรส่วนใหญ่ออกมาไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเพราะมันพึ่งพาสูตรมากเกินไป จนดูมักง่าย จับทางได้และน่าเบื่อ (Cliché) แต่หนังเรื่องนี้นั้นต่างออกไป เค้าใช้สูตรเป็นตัวช่วยเสริมแก่นที่ต้องการจะนำเสนอเท่านั้นและมันออกมาได้ผลดีซะด้วย
ต่อมาคือประเด็นที่เป็น “กระพี้” คือ ยาบำรุงกำลัง(ใจ) การหาคู่และคำพูดป๋าฌอน
พูดคุยเรื่องหนังมาเสียยืดยาว ถ้าไม่พูดถึงนางเอกก็ออกจะดูใจร้ายไปหน่อย หนังเริ่มต้นด้วยการเข้าเว็บหาคู่ของพระเอก ที่มีปัญหาเพราะทำอย่างไรก็ไม่สามารถส่งการทักทายไปหา นางเอก (เชอริล) ได้ เนื่องจากช่องประวัติของพระเอกนั้นว่างเปล่า เพราะชีวิตไม่มีอะไรน่าสนใจพอที่จะกรอกลงไปได้ เที่ยวครั้งสุดท้ายที่ไหน ? เวลาว่างทำอะไร ?
ดูคลับคล้ายคลับคลาจะสะท้อนถึงสังคม Social Network ในปัจจุบัน ที่วัยรุ่นยุคใหม่อยากจะเป็น Somebody พยายามพรีเซนต์ตัวเองกันทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้รับความสนใจจากสังคม เมื่อวานฉันไปเที่ยวที่นู่น วันนี้ฉันกินไอ้นี่ พรุ่งนี้ฉันจะทำไอ้นั่น
จนบางครั้งเราอาจจะลืมไปว่าเราทำสิ่งนั้นเพราะ “อยากทำ” หรือเราทำสิ่งนั้นเพราะ “อยากโชว์” กันแน่
หนังสรุปประเด็นนี้ง่าย ๆ แต่รุนแรงเหมือนโดนตบหน้ากลางสี่แยก ด้วยประโยคสั้น ๆ จากป๋าฌอน
“Beautiful things don’t ask for attention”
คำเพียงไม่กี่คำ พูดออกมาแบบสบาย ๆ แต่คนฟังคล้ายโดนอัปเปอร์คัทเข้าปลายคาง ตาสว่างกันไป
ขอบอกว่าป๋าฌอนในบทนี้แมร่งโคตรเท่ฮะ เท่มาก ต่อให้รูปนี้ลุงยืนแคะขี้มูกผมว่าก็คงเท่อยู่ดี
แต่เท่านั้นยังไม่พอ !! (สำเนียง TV Direct)
ประโยคนี้มันมีพลังมากกว่านั้น หลังจากเปิดหูเปิดตาเราแล้ว
ถ้าคิดในมุมกลับ มันยังส่งต่อเราไปสู่อีกจุดหมายหนึ่ง
เมื่อความงามที่แท้จริงนั้นไม่เรียกร้องความสนใจ
เมื่อสิ่งที่เรียกร้องความสนใจ อาจไม่ใช่ของจริง
ดังนั้น ถ้าเราอยากพบความงามที่แท้จริง
.
.
ใช่ครับ เราต้องออกเดินทางค้นหามัน
การเดินทางออกค้นหาแผ่นฟิล์มหมายเลข 25 นั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้มิตตี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับเชอริลแบบ Humanly (แบบที่หนังแอบจิกกัดคนสมัยนี้ ผ่านคำแนะนำของ Todd ว่าถ้าเอ็งทำงานที่เดียวกัน เจอหน้ากันทุกวัน ก็หัดคุยกันแบบมนุษย์ปุถุชนเค้าทำกันสิวะ) ซึ่งแน่นอนว่ามันคงไม่สะดวกเท่าการแชท แต่มันมีอะไรที่การคุยผ่านเทคโนโลยีให้ไม่ได้เช่นกันและผมเชื่อว่าสิ่งนั้นมันคุ้มค่า
บทเชอริลนั้น Kristen Wiig ถ่ายทอดความเป็นสาววัยกลางคนธรรมดาได้ค่อนข้างดี คือธรรมดาดีจังเลย ไม่สวยมาก ไม่ฉลาดมาก ไม่รันทดมาก ไม่อีโมมาก ดูเป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ
แต่สำหรับมิตตี้เธอคือแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ ให้เค้ากล้าออกไปผจญกับสิ่งที่ไม่รู้จัก ฉากที่เห็นชัด ๆ คือ ฉากมโน ดีดกีตาร์ร้องเพลงผู้พันทอม ก่อนโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ดูแล้วรู้สึกเหมือนหนังกำลังส่งสารบางอย่างมาให้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ธรรมดาแค่ไหน มีปมด้อยอย่างไร แต่สำหรับคนที่เห็นค่าของคุณแล้ว คุณคือแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่เสมอ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อาจเกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากคนตัวเล็ก ๆ ก็ได้
หากเชอริลเปรียบเสมือนดั่งแรงบันดาลใจให้มิตตี้กล้าออกจากฝันไปเผชิญความจริง หนังเรื่องนี้ก็ทำหน้าที่ของแรงบันดาลใจได้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน ด้วยภาพและเสียงระดับเทพที่มีอานุภาพการบิวท์รุนแรง
ถ้าคนไม่ชอบถ่ายรูป จะอยากถ่ายรูป
ถ้าคนไม่ชอบเที่ยว จะอยากออกท่องเที่ยว
แต่ถ้าคนที่ชอบทั้ง 2 อย่างอยู่แล้วละก็
.
.
รับรองว่าจะอยากแบกเป้สะพายกล้องออกท่องโลกมันซะเดี๋ยวนั้นเลย
ในที่สุดก็มาถึงส่วนของ “แก่น” แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่อง การตามหาสิ่งสำคัญ ความจริง / ความฝันและเบื้องหน้า / เบื้องหลัง
สิ่งหนึ่งที่หนังแสดงให้เห็นโดยตลอดคือตัวเอก มักต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่คับขันและขลุกขลักอยู่เสมอ ทั้งโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ขณะที่พายุกำลังตั้งเค้าแถมคนขับเมาก็แทบหมดสภาพ โดดลงมหาสมุทรเย็นเฉียบ ที่มีปลาฉลาม ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจด้วยซ้ำว่าโดดทำไม แล้วยังไงต่อ วิ่งไปแย่งชิงจักรยานกับลูกเรือ ขอแลกเสกตบอร์ดกับเด็ก โดดขึ้นรถชายแปลกหน้าที่คุยกันแทบ ไม่รู้เรื่อง สิ่งที่วอลเตอร์ต้องทำนั้น มีแค่เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง แล้วพุ่งไปข้างหน้าเท่านั้นเอง ถามว่าเค้ารู้ได้อย่างไรว่าไปถูกทาง รู้ได้อย่างไรว่าจะไม่เสียใจที่หลัง
ผมตอบให้ก็ได้ เค้าไม่รู้และไม่มีใครรู้
แต่สิ่งที่เค้ารู้ก็คือ ถ้าเค้าไม่พุ่งออกไป เค้าจะเสียใจแน่ ๆ ณ วินาทีนั้นเลยแหละ
You can not always wait for the perfect time, because there may be no such thing. Some time you must dare to jump.
อาการหลุดโลกของวอลเตอร์ ซึ่งดูเหมือนเป็นอะไรที่หลุดโลกสุด ๆ เพราะ VFX ระดับเทพ แต่จริง ๆ แล้วผมเชื่อว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นกับคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ทุกคน ไม่มากก็น้อย
เคยไหม ? นั่งอยู่คนเดียวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วก็ยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า
เคยไหม ? นั่งเหม่อใจลอย จนคนข้าง ๆ เรียกยังไงก็ไม่ได้ยิน
เคยไหม ? จินตนาการตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ
เราเรียกอาการแบบนี้ว่า “ฝันกลางวัน”
จินตนาการที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะ เราเบื่องานซ้ำซากที่ทำอยู่ทุกวัน เราเบื่อชีวิตจำเจแบบ เช้าตอกบัตร เย็นตอกบัตร เราอยากมีชีวิตที่ตื่นเต้นท้าทาย สิ่งที่เจ็บปวดที่สุด ที่เกิดขึ้นหลังจากดูหนังดี ๆ สนุก ๆ ซักเรื่องหนึ่งจบก็คือ “เราต้องกลับมาพบกับความจริงที่ว่า ชีวิตเรามันน่าเบื่อเหลือเกิน”
เราอาจจะโทษครอบครัว โทษหัวหน้างาน โทษสิ่งแวดล้อม โทษนักการเมือง โทษปี่โทษกลอง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นคือ “ในโลกใบนี้มีคนประเภทเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตที่น่าเบื่อ นั่นคือคนน่าเบื่อ”
ดังนั้นถ้าไม่อยากจมปลักอยู่กับชีวิตที่น่าเบื่อสิ่งที่ง่ายและได้ผลที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เช่นเดียวกับมิตตี้. . .
จากจุดเริ่มต้นคือการตามหาแผ่นฟิล์มลำดับที่ 25 เค้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยการมุ่งหน้าออกไปเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน
สิ่งที่แตกต่างและผู้คนที่ไม่รู้จัก เป็นการวิ่งทะลุกรอบข้อจำกัดที่เค้าติดอยู่มาแสนนาน
ระหว่างการตามหาแผ่นฟิล์มสำคัญที่เป็นแก่นของ L.I.F.E. เค้ากลับค่อย ๆ พบบางสิ่งที่เป็นแก่นของ Life (ชีวิต) เช่นกัน
นั่นคือ ตัวตนที่ทำหล่นหายไปพร้อม ๆ กับการจากไปของพ่อนั่นเอง
แก่นของชีวิตคืออะไร ไม่ต้องตีความให้มากมาย หนังเขวี้ยงใส่หน้าเราตรง ๆ อยู่แล้วด้วย Motto นี้
“To see things thousands of miles away, things hidden behind walls and within rooms, things dangerous to come to, to draw closer, to see and be amazed and to feel that is the purpose of life.”
การตามหาฟิล์มลำดับที่ 25 และการตามหาตัวเองของมิตตี้เป็นสิ่งที่สอดคล้องกัน นั่นคือเค้าไม่ได้เจอมันที่กรีนแลนด์หรือไอซ์แลนด์ เค้าออกตามหาสิ่งที่อยู่กับตัวเองมาตลอดแต่เผลอมองข้ามไป สิ่งสำคัญที่สุดไม่ได้อยู่บนที่ทวีปแสนไกล มหาสมุทรหรือยอดเขาหิมาลัย เหมือนที่ป๋าฌอนสปอยล์ไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องนั่นแหละ
“Look Inside”
“มันอยู่ข้างในต่างหาก”
สมน้ำหน้า ตูบอกแล้วไม่เชื่อ อิอิ
ซึ่งสุดท้ายแล้ว จินตนาการและฝันกลางวันของวอลเตอร์ก็ค่อย ๆ หายไป โดยไม่ต้องบำบัด ไม่ต้องทานยา ไม่ต้องหาหมอ เพราะวอลเตอร์ได้เลือกใช้วิธีจัดการกับอาการฝันกลางวันที่ง่ายและได้ผลที่สุด นั่นคือ…
“การไปทำให้มันเป็นจริง”
ชีวิตธรรมดาของวอลเตอร์ มิตตี้ กลับกลายเป็นชีวิตสุดอัศจรรย์ไปได้อย่างไร ถ้าเราตัด ฉลาม ภูเขาไฟระเบิด เทือกเขาหิมาลัยและฝันกลางวันสุดอลังการทิ้งไป เราจะพบพนักงานกินเงินเดือนธรรมดาคนหนึ่งที่มุ่งมั่นจะทำงานให้สำเร็จให้ได้ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคมากมายเพียงใด ไม่ว่าจะโดนดูถูกมากแค่ไหน ตราบใดที่เรามุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับเป้าหมาย เต็มที่กับงานที่เรารัก ไม่ว่าใครก็มีชีวิตสุดอัศจรรย์ได้
แก่นของนิตยสาร L.I.F.E. เล่มสุดท้าย อุทิศให้กับทีมงานเบื้องหลังทุกคน ผู้สร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์มากมายให้แก่โลก ที่อาจเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เราพบเจออยู่ทุกวัน อาจจะเดินสวนกัน นั่งรถไฟฟ้าขบวนเดียวกัน กินข้าวร้านเดียวกัน คนธรรมดาเหล่านี้แหละ ที่เป็นเบื้องหลังสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ในชีวิตของเรา แต่ที่เราไม่รู้ก็เพราะมันเป็นการทำงานเบื้องหลัง
เรารู้จักแบรนด์เนม เราเคยดูโฆษณา เราใช้ผลิตภัณฑ์ เรารู้จักพรีเซ็นเตอร์ สิ่งที่เรารับรู้เปรียบได้เพียงส่วนที่พ้นน้ำของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเอง แน่นอนส่วนใต้น้ำนั้นไม่มีใครเห็นและไม่มีใครสนใจ หนังเรื่องนี้จึงเสมือนเป็นช่องทางหนึ่ง ในการถ่ายทอดส่วนที่ถูกละเลยนั้นออกมาอย่างเข้าใจ ถึงความสำคัญของทั้ง 2 ฝั่ง เบื้องหน้า/เบื้องหลัง, ความจริง/ความฝัน เหมือนนักกายกรรมที่เดินบนเชือกโดยใช้ไม้ทรงตัว การที่จะเดินไปข้างหน้าได้ โดยไม่ตกลงไปเสียก่อนนั้น ต้องหาจุดสมดุลของมันให้เจอ
การโชว์ภาพที่ 25 ที่บิวท์ให้คนดูอยากเห็นมาทั้งเรื่องว่าต้องเป็นอะไรที่สุดยอดแน่ ๆ เนี่ย ตอนแรกผมนึกว่าหนังจะใช้วิธีจบแบบไม่เฉลย เป็นปลายเปิดไป เพราะบิวท์มาเยอะ ว่าเป็นภาพที่แสดงถึงแก่นสารของนิตยสารเล่มสุดท้าย ถ้าภาพไม่แจ่มจริงเนี่ย อาจทำให้อารมณ์หนังสะดุดตอนท้ายได้ แต่เมื่อเฉลยออกมา ต้องยอมรับว่าทำได้ไม่ผิดหวัง เป็นฉากที่ส่งท้ายให้หนังจบอย่างสวยงาม
One picture worth a thousand words จริง ๆ
(ต้องขออภัย ตามหารูปที่ 25 ไม่เจอจริง ๆ สงสัยป๋าเบนไล่แบนเรียบ)
จะว่าหักมุมมั้ย ? ก็ ไม่น่าใช่การหักมุม น่าจะเรียกว่าค่อย ๆ นวดคนดูเข้ามุม แล้วฮุคตรง ๆ ง่าย ๆ หมัดเดียวช้า ๆ ให้เห็นว่ามาแน่ ๆ คนดูก็รับหมัดไปเต็ม ๆ แล้วนอนหลับสบาย กรรมการไม่ต้องนับให้เสียเวลา
แถมท้ายด้วย ตอนเครดิตท้ายเรื่องขึ้นว่ากำกับโดย เบน สตีลเลอร์ เนี่ย (ผมไม่รู้มาก่อน) มันทำให้แก่นที่หนังจะสื่อเด่นขึ้นมาชัดเจนยิ่งขึ้น ในการถ่ายทอดให้เห็นคุณค่าของคนที่ทำงานเบื้องหลัง ซึ่งผู้ที่สามารถถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างเข้าใจที่สุด ย่อมต้องเป็นคนที่ผ่านงานมาแล้วทั้ง 2 ด้าน ซึ่งแม้จะมีไม่น้อย แต่คนที่ทำออกมาได้ดีทั้ง 2 ด้านนั้น ก็ถือว่ามีไม่มาก และผมมั่นใจหนึ่งในนั้น คือ “เบน สตีลเลอร์”
สรุป 9/10 จ้า
ป.ล. แอบเสียดายที่น่าจะมีฉากลูกเล่นให้คนดูได้มีอารมณ์ลุ้น และสับสนระหว่างฉากความจริงกับความฝันหน่อย เท่าที่ดูมันเดาทางง่ายมากเลย
ป.ล. 2 บทความทั้งหมดที่เขียนเป็นความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้นนะครับ ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงหรือบทวิจารณ์อะไร (บางอย่างอาจจำผิดเพราะดูรอบเดียว ใครพอรู้รบกวนช่วยทักท้วงหน่อยนะครับจะแก้ไขให้) เนื่องจากดูหนังจบแล้วชอบ เลยอยากแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนที่ชอบเหมือนกัน ใครมีความเห็นอย่างไร มาแชร์กันสนุก ๆ นะครับ
ป.ล. 3 กระทู้นี้เป็นรีวิวเรื่องที่ 2 ครับ เรื่องแรกคือ Like Father Like Son ใครสนใจตามไปอ่านได้ที่ลิงก์นี้เลยจ้า Like Father Like Son : ลูกไม้ ใกล้ต้น
[ Spoil ] The Secret Life Of Walter Mitty เพื่อนๆรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับเมื่อเห็นภาพที่ 25
ผมชอบเรื่องนี้มากครับ เป็นหนังมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่ไม่ธรรมดา
แต่ต้องมาทำตัวธรรมดาเพราะความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน
เป็นความงามที่มีอยู่ในตัวเราทุกๆคน เพราะชีวิตจริงเราล้วนมีคนที่ห่วงใย
ที่เราทำงานหาเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงพ่อแม่ หรือคนที่เรารัก
ตอนเฉลยภาพที่ 25 ที่มิตตี้ออกตามหา ผมว่ามันสื่อความหมายได้ดีมากเลย
ผมอึ้งไปครู่นึง น้ำตาซึมนิดๆ ภาคภูมิใจแทนตัวมิตตี้มากๆครับ
แล้วเพื่อนๆรู้สึกอย่างไรกันบ้าง
สปอยล์ THE SECRET LIFE OF WALTER MITTY ชีวิตพิศวงพนักงานล้างฟิล์ม !!!
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม
เรื่องย่อ
The Secret Life of Walter Mitty พูดถึงเรื่องราวของ มิตตี้ชายวัยกลางคนที่ใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจในห้องฟิล์มอันอุดอู้ ของบริษัทนิตยสาร Life แต่ที่ไม่ธรรมดาคือมีอาการฝันกลางวันแบบหลุดโลกติดตัวมาด้วย คราวซวยมาเยือนเมื่อบริษัทถูกซื้อไปแปรรูปเป็นนิตยสารออนไลน์ ซึ่งมาพร้อมการไล่พนักงานออก แต่ความซวยซ้ำซ้อนเกิดขึ้น เมื่อรูปที่ 25 ที่ต้องใช้ลงในหน้าปกนิตยสารฉบับสุดท้ายเกิดหายไป และมันเป็นความรับผิดชอบของมิตตี้ และจะเป็นยังไงต่อสามารถรับชมผ่านคลิปนี้ได้เลยครับ
ช่องทางการติดตาม
Facebook httpswww.facebook.comspoilleak
,Spoillaek,MITTY,พนักงานออฟฟิศ
เบื่อโลกเลยเข้าไปอยู่ในป่า..แต่ไปแบบไม่มีความรู้อะไรเลย l สปอยหนัง l – เดินก้าวไปตราบหัวใจไม่ล้ม
สปอยหนัง GMF
แฟนเพจ http://fb.me/GamingFollow
TikTok https://www.tiktok.com/@gmf_gaming_follow
ส่องผีสนทนา EP.120 | กินเจส่งเทพ ความจริงหรืองมงาย
ร่วมสมัครสมาชิกเป็นครอบครัว ช่องส่องผี ได้ที่ :
https://www.youtube.com/channel/UC3vZKDNxUue2Ed6AjSUcgxQ/join
สมาชิก ท่านขุน เดือนละ 35 บาท ท่านจะได้รับ :
ป้ายข้างชื่อของคุณในความคิดเห็นและไลฟ์แชท ซึ่งมีถึง 6 ระดับ
อิโมจิช่องส่องผี สุดน่ารักที่เราได้ออกแบบเองใช้สำหรับในไลฟ์แชท
ขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้ช่องส่องผีนะครับ
……………………………………………….
สำหรับท่านใดที่ใช้ iphone แล้ว กดปุ่ม Join ไม่เจอสามารถทำตามขั้นตอนนี้
1.เข้า browser Safari
2.search www.youtube.com
3.กดตัวอักษร Aa ที่มุมขวาบนฝั่งซ้าย
4.กด Request Desktop Website
5. เข้าไปที่หน้าช่องYoutube ช่องส่องผี จาก Safari ก็จะเห็นปุ่ม join
วันจันทร์ : รายการส่องผีสนทนา สามพิธีกรจะนั่งคุยสนทนาในเรื่องราวต่างๆ ในเรื่องของความเชื่อและ มิติคู่ขนาน รวมไปถึงถามตอบปัญหาต่างๆจากผู้ชมในทางบ้าน ตอบท้ายด้วย การส่องกรรมฟรีกับอาจารย์เรนนี่ ในช่วง \”ส่องกายส่องใจ\” ของรายการ ช่วงเวลา 19.00 20.30 ราว 1.5 ชั่วโมง ส่งเรื่องราวของคุณมาที่เรา เพื่อเป็นแขกในช่วงส่องกายส่องใจ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ที่ช่างชุ่ย Studio ทางนี้ https://cspe2019.com/songjai/ หากคุณได้รับการคัดเลือกจะมี เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไป การเดินทางมาที่ ช่างชุ่ย Studio คลิ๊ก https://goo.gl/maps/MMR8XDtxiKo8e5fw8
วันพุธ : รายการ \”ช่องส่องผี\” แบบ Full EP. ชมกันยาวๆ 1ชั่วโมง+ ทุกคืนวันพุธ เวลา 20.15 น.
วันศุกร์ : เวลา 20.15 ส่องผีLive ชมต้นตอที่มาของสถานที่สำคัญที่กำลังจะออกอากาศใน EP. เต็มในสัปดาห์หน้า
ตามรอยรายการช่องส่องผี ไปทุกที่ที่เราไป https://www.google.com/maps/d/edit?mid=1Z40IHhk1FnuNfK7w_S1nC_Y3ARcFboY\u0026usp=sharing
อย่าลืมกด Subscribe และกดกระดิ่งแจ้งเตือน คลิปใหม่พวกเรานะครับ
คลิก : https://www.youtube.com/channel/UC3vZKDNxUue2Ed6AjSUcgxQ
ติดตามความเคลื่อนไหว และผลงานช่องทางอื่นๆที่นี่ !!!
ร้านที่ระลึกของมงคลเพื่อสนันสนุนรายการ คลิ๊ก https://chongsongphee.nativewhale.com/
ไอดี [email protected] ช่องส่องผี : @winyan กด https://lin.ee/31dJoZO
กลุ่มปิด FC ช่องส่องผี : https://www.facebook.com/groups/CSPE2019
Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/cspe2019com
ติดตามทาง IG : https://www.instagram.com/the_real_ghosts_official/
ช่องส่องผี therealghost กินเจ
เปิดใจ 10 ปี การเดินทางของหนังพาไป เผยถึงการทำงานทุกครั้งว่าเหมือนเป็นซีซั่นสุดท้าย | คุยกับบอล-ยอด
มนุษย์ต่างวัย Talk กับ ประสาน อิงคนันท์ EP.4 : คุยกับ บอลทายาท เดชเสถียร และยอดพิศาล แสงจันทร์
แฟน ๆ บอลยอด หนังพาไป ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทั้งคู่จะมาเปิดใจถึงประสบการณ์การทำงานตลอด 10 ปีช่วงที่หายไป หายไปไหนคิดอย่างไรในวันที่โลกเปลี่ยนเร็ว และคิดอย่างไร ถ้าซีซั่นสุดท้ายของหนังพาไปเดินทางมาถึง
มนุษย์ต่างวัย หนังพาไป ประสบการณ์ การเดินทาง การทำงาน นั่งคุย ไลฟ์สไตล์ ชีวิต
___
ติดตาม ‘มนุษย์ต่างวัย’ ในช่องทางอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.manoottangwai.com/
Facebook : https://www.facebook.com/manoottangwai
LINE Official : https://lin.ee/siekPKY
Instagram : https://bit.ly/3kq9ByX
PodBean : https://bit.ly/3bDiXDB
Spotify : https://spoti.fi/3aOvOnl
JOOX : https://open.joox.com/s/rd?k=jhanl
___
ติดต่อโฆษณาออนไลน์
085 117 4290
Email : [email protected]
ลืมระยะ 500 Km. หนังสั้นส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษ
\” ลืม ระยะ500 กม.\”
เมื่อพระเอกหนุ่มทำงานก่อสร้าง บังเอิญไปเที่ยวกับสาวนักศึกษาปี 4 มันสิเป็นจั่งได๋ล่ะบาท
ทุ่งกบาลกะไบ
จังหวัดศรีสะเกษ
บ่แม่นเรื่องง่าย
หนังสั้นส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษ
อำนวยการสร้าง : สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ , อวิรุทธ์ อรรคบุตร
MV CREW
Executive Producer : สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ
Producer : สุรศักดิ์ ป้องศร ,อวิรุทธ์ อรรคบุตร , ศุภณัฐ นามวงศ์
Director | ปริญญา นาธงชัย
Firs Assistant Director | อนุสรณ์ ลิ้มฤทัย | ต้องเต ธิติ
Screenwriter | ปริญญา นาธงชัย
Director of Photography | บุญโชค ศรีคำ
Focus Puller | First Assistant Camera | ณรงค์เกียรติ์ เวฬุวนารักษ์
Second Assistant Camera | จิรายุ คณะชาติ
Video Man | สารัช พงษ์พีระ
Data Imaging Technician | สมพร กราบกราน
Storyboard | มนัสนันท์ วงษ์ทา
Sound | การิน
Graffer | Prathung Comruangsee
Art Director | โต้งดีเซล
First Assistant Art Director | ตามเซฟเถื่อน , ณัฐพงษ์ , อ็อฟโลกเอียง , เจ้ติ้ง ,โอ๊ต
PM / Costume | อนุสรณ์ ลิ้มฤทัย,น้องปัด สนร
Welfare | เขมน้ำไหมครับ
Editor | Colorist | บุญโชค ศรีคำ ,ณรงค์เกียรติ์ เวฬุวนารักษ์
ติดต่อรายการหรือลงโฆษณา โทร 0639719693
ติดต่อรายการ
บริษัท ไทบ้าน สตูดิโอ จำกัด
โทร 0639719693
Email : [email protected]
ไทบ้าน | Thibaan.com รวมข้อมูลข่าวสารไทบ้าน ภาพยนตร์ เพลง ความบันเทิง
ติดต่อบริษัท
บริษัท เซิ้ง โปรดักชั่น แอนด์ ออร์แกไนเซอร์ จำกัด
โทร 0638500150
Email : suengpro[email protected]
ติดต่องานแสดงศิลปิน เซิ้ง มิวสิก
บริษัท เซิ้ง มิวสิก จำกัด
โทร 0984426915 (ผู้จัดการ เซิ้ง มิวสิค)
Email : [email protected]
ช่องทางติดตาม
Facebook Page : เซิ้ง MUSiC | ThibaanChannel
https://www.facebook.com/ThiBaanTheSeries
https://www.facebook.com/SerngMusic
ข่าวไทบ้านสดก่อนใคร:
ไทบ้าน | Thibaan.com รวมข้อมูลข่าวสารไทบ้าน ภาพยนตร์ เพลง ความบันเทิง
ThibaanChannel เซิ้งมิวสิค เซิ้งโปรดักชั่น
นอกจากการดูหัวข้อนี้แล้ว คุณยังสามารถเข้าถึงบทวิจารณ์ดีๆ อื่นๆ อีกมากมายได้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่Travel tại đây